เปิดใจ “พงษ์เทพ วิชัยกุล” จากกรรมการผู้จัดการ ขึ้นแท่นผู้ถือหุ้นใหญ่ NCL กับทิศทางการดำเนินธุรกิจ สู่เป้าหมายการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง
นายพงษ์เทพ วิชัยกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็นซีแอล อินเตอร์เนชั่นแนล โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ NCL ผู้ให้บริการจัดการระบบโลจิสติกส์ ครบวงจร (Logistics Solution Provider) เปิดเผยในงาน Opportunity Day บริษัทจดทะเบียนพบผู้ลงทุน ในวันนี้ (24 ส.ค.65) ว่าภายหลังจากที่มีการซื้อขายหุ้นผ่านระบบการซื้อขายของตลาดหลักทรัพย์บนกระดานรายใหญ่ (Big Lot Board) เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม ที่ผ่านมา จํานวนรวม 62,404,245 หุ้น หรือคิดเป็นร้อยละ 11.81 ส่งผลให้โครงสร้างการถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทเปลี่ยนแปลง โดยขึ้นเป็นผู้ถือหุ้นอันดับ 1 ของ NCL แทนนายกิตติ พัวถาวรสกุล ที่เป็นผู้ถือหุ้นอันดับ 2 และบริษัท ไทยเอ็นวีดีอาร์ จํากัด เป็นผู้ถือหุ้นอันดับ 3
ทั้งนี้ การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้ถือหุ้นดังกล่าวไม่มีผลกระทบต่อการบริหารงานและโครงสร้างการจัดการของบริษัทฯ แต่อย่างใด บริษัทฯ ยังคงมุ่งมั่นที่จะพัฒนาความเชี่ยวชาญในการเป็นผู้ให้บริการด้านโลจิสติกส์แบบครบวงจร ได้มาตรฐานสากล ซึ่งจะเป็นทางเลือกแรกและทางเลือกที่ดีที่สุดให้แก่ลูกค้าและคู่ค้าของบริษัทฯ เพื่อเป้าหมายในการดำเนินธุรกิจ คือการเป็นมืออาชีพในการช่วยลดต้นทุนด้านโลจิสติกส์เพิ่มประสิทธิภาพ และสร้างความพึงพอใจให้แก่ลูกค้าให้มากที่สุด
ส่วนผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ในไตรมาส 2/2565 มีรายได้รวมอยู่ที่ 571.9 ล้านบาท และ 6 เดือนแรกสิ้นสุดมิถุนายน 2565 มีรายได้อยู่ที่ 1,161.3 ล้านบาท โดยในไตรมาสดังกล่าวรายได้ยังคงเติบโตเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนจากความต้องการใช้บริการที่ยังคงสูงอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้บริษัทฯ ยังได้พัฒนาช่องทางการหารายได้ใหม่ไม่ว่าจะเป็นรายได้จากธุรกิจโกดังเก็บสินค้า ธุรกิจดิจิทัลและการรับงานโครงการมากขึ้น เพื่อกระจายความเสี่ยงจากปัจจัยภายนอกให้ได้มากที่สุด
“ตามเป้าหมายของบริษัทฯ ที่ต้องการเพิ่มฐานรายได้และกระจายความเสี่ยงทางธุรกิจ จึงพยายามมองหาธุรกิจใหม่ๆ ที่มีศักยภาพในอนาคต เพื่อมาต่อยอดธุรกิจขนส่งโลจิสติกส์ให้เติบโตมากยิ่งขึ้น ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการในหลายๆ โปรเจค รวมทั้ง ธุรกิจ Digital Content ที่จะช่วยสนับสนุนและเป็นปัจจัยบวกที่ผลักดันให้ภาพธุรกิจของของ NCL ในอนาคตเติบโตได้อย่างมีนัยสำคัญ” นายพงษ์เทพ กล่าว
สำหรับธุรกิจของบริษัทฯ ประกอบด้วย 1.ธุรกิจบริการขนส่งครบวงจร (Freight Forwarder) 2.ธุรกิจบริการตู้และขนส่งแบบไม่เต็มตู้ (NVOCC) 3.ธุรกิจบริการขนส่งทางบกและโกดังสินค้า (Land and Warehouse) 4.ธุรกิจอื่นๆ (การขายน้ำยาฟอกไต ซึ่งบริษัทถือหุ้นร้อยละ 52.8 ของบริษัท เกรซ วอเทอร์ เมด) อย่างไรก็ตามบริษัทฯ คาดว่าทิศทางการดำเนินธุรกิจในช่วงครึ่งปีหลังยังคงมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง หลังจากสถานการณ์โควิด-19 เริ่มดีขึ้น ประกอบกับค่าระวางเรือยังทรงตัวอยู่ในระดับที่ดีเมื่อเทียบกับอดีตที่ผ่านมา ดังนั้น รายได้ในปีนี้จึงมีโอกาสเติบโตจากปีก่อนที่ทำได้ 1,923.89 ล้านบาท