IPSOS
อิปซอสส์ เผยผลสำรวจวิกฤตโควิด 4 ระลอก ชี้ 80% ของคนไทยระมัดระวังกับจำนวนเงินที่ใช้จ่ายมากยิ่งขึ้น กระทบต่อกลุ่มสินค้าและธุรกิจ พร้อม 5 สิ่งที่คาดหวังจากภาคธุรกิจ–ภาครัฐ
บริษัท อิปซอสส์ (ประเทศไทย) จำกัด (Ipsos (Thailand) Co.,Ltd.) ผู้นำระดับโลกด้านการวิจัยตลาดและสำรวจความคิดเห็นผู้บริโภค ผู้ให้บริการงานวิจัยรูปแบบ สร้างสรรค์ชิ้นงานที่ทำการออกแบบเฉพาะรายแบบครบวงจร Customized One Stop Research Solution Service ที่ได้พัฒนาโมเดลโซลูชั่นการวิจัยพร้อมใช้มากที่สุดถึง 75 โซลูชั่นสำหรับตลาดโลกและ 9 โมเดลโซลูชั่นสำหรับตลาดวิจัยไทย โดย นางสาว อุษณา จันทร์กล่ำ (Usana Chantarklum) กรรมการผู้จัดการ ได้เปิดเผย – ข้อมูลวิจัยชุดพิเศษ “วิกฤตการณ์โควิด 4 ระลอก กับการเปลี่ยนแปลงด้านอารมณ์และทัศนคติ ที่ส่งผลกระทบต่อตลาด เศรษฐกิจ และสังคม พร้อมปัจจัยเพื่อการปรับตัวและวางแนวทางให้กับภาคธุรกิจ และ ภาครัฐ” โดย อิปซอสส์ ได้ทำการศึกษาสถานการณ์นี้อย่างต่อเนื่องตั้งแต่กลางปี 2563 เพื่อให้รับรู้ถึงความคิดเห็นของผู้บริโภค และพฤติกรรมต่างๆ ที่ต้องเผชิญท่ามกลางการแพร่ระบาดในตลาดสำคัญ 6 ประเทศ ในแถบภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ อาทิ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงค์โปร์ เวียดนาม และประเทศไทย รวม 6 ประเทศ
นางสาวอุษณา เปิดเผยว่า “ผลการศึกษานี้จะชี้ให้เห็นถึงผลกระทบด้านทัศนคติ อารมณ์ และพฤติกรรมการบริโภค ที่อยู่ท่ามกลางแพร่ระบาดของโควิดทั้ง 4 ระลอก พร้อมแนวโน้มอนาคต ที่จะใช้เป็นข้อมูลสำคัญช่วยให้ภาคตลาด ธุรกิจและองค์กรต่างๆ สามารถใช้เป็นแนวทางในการวางแผนล่วงหน้าให้แม่นยำยิ่งขึ้น โดยใช้วิธีการทำวิจัยที่ผสมผสานกับรูปแบบ Desk Research หรือการวิจัยบนโต๊ะจากหลายแหล่ง โดยเน้นการใช้การการวิจัยของตลาดประเทศไทยโดยเฉพาะ เพื่อให้ได้ภาพรวมของสถานการณ์ตลาดประเทศไทยที่สมบูรณ์ตามความเป็นจริงที่สุด เป็นการรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลที่เป็นระบบ เกี่ยวข้องกับกลุ่มเป้าหมาย ทางการตลาดที่เฉพาะเจาะจง คู่แข่ง ตลอดจนสภาพแวดล้อม ครอบคลุมหัวข้อ ดังนี้
-ทางรอดของธุรกิจ และความคาดหวังของประชาชนจากภาครัฐ
-แนวโน้มสภาวะเศรษฐกิจ และสถานการณ์การเงินส่วนบุคคล
-การเปลี่ยนแปลงด้านพฤติกรรมการใช้จ่าย ที่ส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจ
-การระบาดที่กระทบต่อทางสุขภาพจิต และร่างกาย
-วัคซีนที่ล่าช้า และความไม่ชัดเจนของข่าวสาร
จากสรุปผลรายงาน พบว่าดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคตกลงอย่างต่อเนื่องจากการแพร่ระบาดโควิด19 ในระลอกที่ 1 ในเดือนมีนาคม 2563 และตกต่ำสุดในระลอก 3 ในปี 2564 ต่อเนื่องกับระลอก 4 โดยความปลอดภัยจากโควิด และความมั่นคงด้านการเงิน เป็นปัจจัยสำคัญอันดับแรกของคนไทย พร้อมการลดช่องว่างความไม่เท่าเทียมด้านฐานะ เป็นสัญญาณที่ละเอียดอ่อนที่ภาครัฐต้องคำนึง
1/3 ของคนไทย มองว่าสถานะด้านการเงินของตนเข้าขั้น “แย่” ชะลอซื้อของชิ้นใหญ่
นางสาวอุษณา เปิดเผยเพิ่มเติมว่า “ในส่วนแรกของสรุปผลการศึกษา จะชี้ให้เห็นถึง 5 ความคาดหวังของประชาชนในด้านต่างๆ ที่ต้องการจากภาครัฐ แล 5 สิ่งที่อยากได้จากภาคธุรกิจ อาทิ ความต้องการด้านความปลอดภัยจากการแพร่ระบาดของ โควิด 19 และความมั่นคงด้านการเงิน ความคาดหวังให้ภาคธุรกิจขนาดใหญ่มีบทบาทร่วมรับผิดชอบต่อสังคม พฤติกรรมการใช้จ่าย และการใช้ชีวิตที่มีการเปลี่ยนอย่างมากและรวดเร็ว ที่ส่งผลต่อกลุ่มสินค้าและภาคธุรกิจ
สำหรับผลกระทบด้านเศรษฐกิจและการเงินส่วนบุคคล นางสาวอุษณา เปิดเผยเพิ่มเติมว่า “คนไทยยังมีความกังวลและมีภาพที่ไม่ดีตอสถานการณ์ด้านเศรษฐกิจของประเทศโดยภาพรวม และมีอัตราสูงกว่าอัตราเฉลี่ยของภูมิภาค ขณะที่ ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม มีอัตราความเชื่อมั่นต่อแนวโน้มเศรษฐกิจของประเทศตนสูงสุด ส่วนประเทศอื่นๆ เฝ้าระวังและคาดหวังภาพที่ดี และประมาณ 1/3 ของคนไทย มองว่าสถานะด้านการเงินของตนเข้าขั้น “แย่” ซึ่งไทยถือเป็นสัดส่วนที่ตกต่ำสูงสุดในภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้
ส่วนการเปลี่ยนแปลงด้านพฤติกรรมการใช้จ่ายที่ได้ส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจ พบว่าการใช้จ่ายของคนไทยในปัจจุบัน จะจ่ายเงินเฉพาะกลุ่มสินค้าที่จำเป็นเท่านั้น โดยตัดการใช้จ่ายกับสินค้าที่มีมูลค่า เพื่อความสะดวกสบาย เช่น บ้าน รถยนต์ ซึ่งสินค้ากลุ่มนี้มีอัตราลดลงตั้งแต่การแพร่ระบาดโควิด ระลอกที่ 3
ทั้งนี้ สัดส่วนพฤติกรรมการจับจ่ายแสดงให้เห็นแตกต่างกันใน 4 ระดับ คือ ซื้อมากขึ้น / ไม่เปลี่ยนแปลง / ซื้อน้อยลง / และ ไม่ซื้อเลย โดยกลุ่มที่มีการซื้อมากขึ้นอย่างชัดเจน คือ กลุ่มสินค้าเพื่อนำไปประกอบอาหารที่บ้าน กลุ่มผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด กลุ่มของใช้ส่วนบุคคล เป็น 3 กลุ่มสินค้าที่มีการซื้อสูงสุด
กลุ่มวัตถุดิบเพื่อทำอาหารที่บ้าน 52 : 37 : 10 : 1
กลุ่มของใช้ส่วนบุคคล 27 : 55 : 17 : 1
กลุ่มผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด 41 : 47 :11 : 1
เครื่องแต่งกายและรองเท้า 14 : 45 : 39 : 3
กลุ่มสินค้าอิเล็คทรอนิกส์ 14 : 45 : 36 : 5
ภัตตาคาร-ร้านอาหาร-คาเฟ่ 12 : 33 : 43 : 12
ท่องเที่ยว 13 : 29 : 55 : 3
หนังสือ 16 : 43 : 30 : 11
กิจกรรมด้านศิลปวัฒนธรรม 9 : 41 : 43 : 8
ของเล่น 9 : 29 : 48 : 14
วีดีโอ เกมส์ 16 : 31 : 37 : 16
แอลกอฮอล์ 20 : 25 : 35 : 20
ส่วนความมั่นใจในการทำกิจกรรมต่างๆ อาทิ การรวมญาติ ออกไปทานอาหารนอกบ้าน และท่องเที่ยวในประเทศ โดยสัดส่วนของกิจกรรมที่ทำการสำรวจ คือ ไปเยี่ยมญาติและเพื่อนถึงบ้าน 41% ท่องเที่ยวภายในประเทศ 32% ไปภัตตาคาร-ร้านอาหาร 28% ใช้บริการขนส่งมวลชน 26% ไปโรงยิมหรือสถานออกกำลังกาย 24% ร่วมกิจกรรมด้านวัฒนธรรม 22% ท่องเที่ยวต่างประเทศ 20% ตามลำดับ
ช็อปปิ้งออนไลน์เฟื่อง ผู้บริโภคเริ่มคุ้นเคย นิยมใช้จ่ายแบบไร้เงินสด กระแสใหม่ซื้อของผ่ารูปแบบไลฟ์สตรีมมิ้ง 82% เคยได้ยินแนวไลฟ์สตรีมมิ่ง 56% เคยร่วม และ 36% ตัดสินใจซื้อ
สำหรับพฤติกรรมการใช้จ่าย การแพร่ระบาดโควิดยาวนานกว่า 18 เดือน ได้เปลี่ยนพฤติกรรมด้านการใช้จ่ายของผู้บริโภคไปอย่างรวดเร็ว โดยเริ่มคุ้นเคยกับการช็อปปิ้งผ่านช่องทางออนไลน์ และจับจ่ายแบบไร้เงินสด ตลอดจนมีการใช้เวลาในการค้นหาข้อมูลทางอินเทอร์เน็ตมากยิ่งขึ้น กิจกรรมที่มีการขยายตัวอย่างมาก คือ การซื้อสินค้าออนไลน์ การใช้จ่ายแบบไร้เงินสดยังร้านค้าต่างๆ มองหางานอดิเรกใหม่ๆ ใช้เวลากับครอบครัว ใช้เวลาบนโซเชียล มีเดีย และการเข้าถึงสตรีมมิ่งคอนเทนต์ (Netflix etc.) เป็นที่น่าสังเกตว่า จากการที่ต้องกักตัวอยู่บ้าน ก็จะส่งผลต่อพฤติกรรมการใช้ชีวิตกับครอบครัว และการใช้เวลาบนโซเชียล มีเดีย ทำให้กิจกรรม 2 ส่วนนี้มีการเปลี่ยนแปลงในอัตราที่สูงขึ้น
การวิเคราะห์ถึงการเปลี่ยนแปลงด้านพฤติกรรมในกิจกรรมเหล่านี้ เมื่อเปรียบเทียบกับ 6 เดือนที่ผ่านมา โดยแบ่งระดับเป็น – เพิ่มมากขึ้น / ไม่มีการเปลี่ยนแปลง / น้อยกว่าหรือเท่าเดิม / ไม่เคยทำกิจกรรมนี้
ซื้อสินค้าออนไลน์ 49 – 28 – 21 – 3
การใช้จ่ายแบบไร้เงินสดยังร้านค้าต่างๆ 38 – 40 – 18 – 4
มองหางานอดิเรกใหม่ๆ 37 – 35 – 20 – 8
ใช้เวลากับครอบครัว 56 – 30 – 12 -1
สังสรรค์กลุ่มสังคมอื่นๆ เพื่อนฝูง เพื่อนร่วมงาน 9 – 22 – 55 -15
ใช้เวลาบนโซเชียล มีเดีย 63 – 28 – 9 -1
การเข้าถึงสตรีมมิ่ง คอนเทนต์ (Netflix etc.) 42 – 31 – 14 – 14
อ่านหนังสือและแมกกาซีน 24 – 39 – 25 – 12
ทำงาน / ศึกษา 18 – 54 – 23 – 5
สินค้าขายดี ช่องทางไลฟ์สตรีมมิ่ง เครื่องแต่งกายและรองเท้า ทิ้งห่างอันดับรอง คือ อาหาร ตามมาด้วยสินค้าในครัวเรือน เครื่องดื่มมีเพียง 4% ที่นิยมซื้อผ่านช่องทางในรูปแบบนี้
สำหรับรูปแบบการช้อปปิ้งแนวไลฟ์สตรีมมิ่ง เป็นตัวที่มาอุดช่องว่างพร้อมสร้างประสบการณ์ใหม่ในการจับจ่าย จากการสำรวจความคิดเห็นพบว่า 82% ของประชากรในกลุ่ม SEA เคยได้ยินเกี่ยวกับการช้อปปิ้งในรูปแบบนี้ และ 56% ของคนกลุ่มนี้ เคยเข้าร่วม โดยที่ 14% ของกลุ่มคนที่เข้าร่วมนี้มีความตั้งใจที่จะซื้อสินค้า และ 36% ตัดสินใจซื้อสินค้า ทั้งนี้ กลุ่มสินค้ายอดฮิตที่มีการจับจ่ายผ่านรูปแบบไลฟ์สตรีมมิ่ง ที่มีการซื้อขายสูงสุด ดังนี้
เครื่องแต่งกายและรองเท้า 51%
อาหาร 15%
ของใช้ส่วนบุคคลและความงาม 14%
สินค้าในครัวเรือน 10%
เครื่องดื่ม 4%
ของเล่นและเกม 3%
อื่นๆ 2%
ภาพรวมความคาดหวังของประชากรใน SEA จากภาครัฐและภาคธุรกิจ
ภาพรวมความคาดหวังจากภาครัฐและภาคธุรกิจของประชากรใน SEA ผลสรุปรายงานวิจัยชี้ให้เห็นถึงความต้องการของประชาชนระดับภูมิภาคและความคาดหวังในประเทศไทย ทั้ง่นี้ ภาพรวมความคิดเห็นของประชากรใน SEA เกี่ยวกับความมั่นใจในสถานการณ์ด้านการเงินส่วนบุคคล นับเป็นสถิติเฉลี่ย 76% โดย สิงค์โปร์ มีความมั่นใจ สูงสุด ในอัตรา 83% ตามมาด้วย เวียดนาม และฟิลิปปินส์ มั่นใจในอัตราเท่ากัน คือ 79% มาเลเซีย 76% อินโดนีเซีย 75% และ ประเทศไทย ความมั่นใจในเรื่องการเงินต่ำสุด ในอัตรา 64% (โดยที่คาดการณ์ในอีก 6 เดือนข้างหน้า ชาวฟิลิปปินส์จะมีความมั่นใจสูงสุด ขณะที่ มาเลเซีย อยู่ในอัตราต่ำสุด
5 สิ่ง ความคาดหวังจากภาครัฐ และ 5 สิ่ง ความคาดหวังจากภาคธุรกิจ
เมื่อถามถึงเรื่องเร่งด่วนในอนาคตอีก 6 เดือนข้างหน้า ประเด็นที่ประชาชนคนไทยคาดหวังสูงสุดจากภาครัฐ 5 อันดับแรก คือ มาตรการป้องกันพนักงานให้ปลอดภัยและพ้นภัยโควิด ควบคุมราคาสินค้าและบริการตลอดจนภาวะเงินเฟ้อ สร้างงานคุ้มครองการจ้างงาน มาตรการการช่วยเหลือและสนับสนุนด้านการเงินให้ครัวเรือน สร้างงานและคุ้มครองการจ้างงาน ลดความเหลื่อมล้ำทางการเงิน ในอัตรา 56% 36% 34% 26% และ 24% ตามลำดับ
ส่วน 5 สิ่ง ความคาดหวังจากภาคธุรกิจ หลักๆ คือ ด้านสุขภาพและเศรษฐกิจ เป็นปัจจัยสำคัญที่ธุรกิจจะต้องนำมาพิจารณา เพื่อเตรียมแผนการรองรับใน 6 เดือนต่อไป โดยเรียงตามลำดับ ดังนี้ ป้องกันพนักงานให้ปลอดภัยและพ้นภัยโควิด ควบคุมราคาสินค้าและบริการ จ่ายค่าจ้างที่เป็นธรรมให้พนักงาน มีส่วนช่วยส่งเสริมเศรษฐกิจท้องถิ่นด้วยการสร้างงาน ส่งเสริมเศรษฐกิจท้องถิ่นด้วยการอุดหนุนสินค้าของพ่อค้าในท้องที่ ในอัตรา 53% 46% 41% 30% และ 29% ตามลำดับ
ความคิดเห็นประชากรในภูมิภาค SEA ต่อบทบาทภาคเอกชนในการร่วมรับผิดชอบสังคม เวียดนามมีอัตราสูงสุด ถึง 96% ไทย 80% มาเลเซีย รั้งท้าย 77%
สำหรับการมีส่วนร่วมรับผิดชอบต่อสังคม ข้อมูลวิจัยเปิดเผยว่า 80% ของคนไทย มีความเห็นว่าธุรกิจขนาดใหญ่ได้ให้ความร่วมมืออย่างเหมาะสมตลอดสถานการณ์การแพร่ระบาด จากผลการสอบถามความคิดเห็น เสียงส่วนใหญ่ของประชาชนในแต่ละประเทศ ต่างมีความเห็นว่า เหล่าธุรกิจขนาดใหญ่มีบทบาทในการมีส่วนร่วมรับผิดชอบต่อสังคมถึงสถานการณ์ช่วงแพร่ระบาดโควิด 19 ดังนี้ เวียดนาม 96% ฟิลิปปินส์ 92% สิงค์โปร์ 86% อินโดนิเซีย 86% ไทย 80% มาเลเซีย 77%
โควิด ส่งผลร้ายต่อ สุขภาพทางจิต และร่างกาย
ในแง่ของความเจ็บป่วยทางจิต จากการประชาชนต้องอยู่ท่ามกลางผลกระทบจากการแพร่ระบาดโควิดมาเป็นเวลายาวนานต่อเนื่อง ส่งผลให้คนไทยมีอัตราเสียสุขภาพจิตอย่างรุนแรง ในรอบ 6 เดือนที่ผ่านมา ทั้งนี้ ถือเป็นสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยสังเกตได้จากอัตราการฆ่าตัวตาย เทียบเท่ายุควิกฤตการเงิน ต้มยำกุ้ง ในปี 2540 ยิ่งกว่านี้ความล่าช้าของวัคซีนและข้อมูลที่ไม่ชัดเจน ตลอดจนข่าวบิดเบือนที่แพร่กระจายขยายวงกว้าง ได้สร้างความเข้าใจผิดในเรื่องผลข้างเคียงจากการฉีดวัคซีน กลายเป็นสาเหตุหลักของการลังเลใจในการรับวัคซีน ขณะที่ประเทศต่างๆ พร้อมใจรับการฉีดวัคซีนทันทีที่ให้บริการ แต่ประเทศไทยกลับตรงข้าม เห็นได้จากอัตราความลังเลใจที่ลดลง เมื่อเปรียบเทียบระหว่าง ระลอก 3 กับระลอก 4 ที่ 79% และ 69% ติดลบ 10%