วันพฤหัสบดี, ธันวาคม 5, 2024
BUSINESS

อมาร์ ลัลวานี่ ซีอีโอ Standard International เผยมุมมองเกี่ยวกับอุตสาหกรรมท่องเที่ยว และบริการ พร้อมแนะนำ The Standard โรงแรมใหม่ล่าสุด! ที่จะเปิดตัวครั้งแรกในประเทศไทยในปี พ.ศ. 2564 และ2565   

 

อมาร์ ลัลวานี่ ซีอีโอ Standard International (สแตนดาร์ด อินเตอร์เนชั่นแนล) บริษัทแม่ของเครือโรงแรม The Standard (เดอะ สแตนดาร์ด) แสดงความเชื่อมั่นต่อธุรกิจท่องเที่ยวและบริการ ท่ามกลางความท้าทายจากผลกระทบของโควิด19 พร้อมเผยทัศนะ ในการขับเคลื่อนองค์กรท่ามกลางวิกฤติจนสามารถเติบโตอย่างต่อเนื่อง

 

สำหรับโรงแรมใหม่ล่าสุดที่จะเข้ามาเสริมความแข็งแกร่งและขยายการเติบโตให้กับพอร์ตโฟลิโอของบริษัท ได้แก่ The Standard, Hua Hin (เดอะ สแตนดาร์ด หัวหิน) รีสอร์ตติดชายหาดแห่งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีกำหนดเปิดตัววันที่ 1 ธันวาคม 2564 ตามด้วย The Standard, Bangkok Mahanakhon (เดอะ สแตนดาร์ด แบงค็อก มหานคร) อันถือเป็นโครงการแฟล็กชิพประจำเอเชียของแบรนด์ ซึ่งจะเปิดให้บริการในปี 2565 บริษัทฯ ยังสร้างความฮือฮาด้วยการเผยความพร้อมของ The Standard, Ibiza (เดอะ สแตนดาร์ด อิบิซ่า) ที่จะเปิดให้บริการในปี 2565 โดยโรงแรมใหม่ทั้ง สามแห่งถือเป็นส่วนหนึ่งในการเริ่มต้นแผนการขยายตลาดด้วยโครงการเด่น 12 แห่งในเมืองท่องเที่ยวในตลาดสำคัญทั่วโลก รวมถึงในสิงคโปร์ เมลเบิร์น ลิสบอน ดับลิน บรัสเซลส์ และลาสเวกัส

 

การเปิดตัวแบรนด์ The Standard เข้าสู่ตลาดประเทศไทย ถือว่าทำได้อย่างถูกเวลาเนื่องจากประเทศไทยกำลังเดินหน้าเปิดประตูต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ด้วยการผ่อนผันกฎเกณฑ์ในการเดินทางเข้าสู่ประเทศไทย และการเร่งปูพรมฉีดวัคซีนเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ให้กับประชาชน

 

“ในนามของ The Standard ผมมีความภาคภูมิใจอย่างยิ่งที่จะแนะนำโรงแรมสมาชิกใหม่ของเราอย่างThe Standard, Hua Hin ที่มีกำหนดเปิดบริการในเดือนธันวาคมของปีนี้ รวมถึง The Standard, Bangkok Mahanakhon โครงการแฟล็กชิพของเราในเอเชีย ที่จะเปิดตัวปี2565 และ The Standard, Ibiza โรงแรมแห่งที่สองของเราในยุโรป” อมาร์ ลัลวานี่ ซีอีโอ Standard International เผย

 

“อย่างที่ทราบกันดี วิกฤตที่เรากำลังประสบในเวลานี้เป็นความท้าทายที่อุตสาหกรรมท่องเที่ยวและบริการไม่เคยเผชิญมาก่อน ส่งผลกระทบต่อแรงงานนับล้านคนทั่วโลก ท่ามกลางความท้าทายเหล่านี้ องค์กรของเรามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะนำความสุขความเพลิดเพลินมาสู่แขกผู้ใช้บริการ ทั้งยังทำประโยชน์ต่อชุมชนรอบข้าง และสร้างโอกาสใหม่ ๆ ให้กับสมาชิกทีมงานโดยการรังสรรค์โครงการโรงแรมที่น่าทึ่งทั่วโลก”

 

แบรนด์ The Standard เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในฐานะ หนึ่งในแบรนด์ที่มีนวัตกรรมด้านไลฟ์สไตล์ ที่สร้างสรรค์โดดเด่นที่สุดในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและบริการ โดย The Standard กำหนดเป้าหมายสำคัญของทุกโครงการให้มีความท้าทายขนบแบบเดิม ยกระดับสุนทรียภาพของรูปลักษณ์ให้จับต้องได้ และมอบประสบการณ์สุดพิเศษในแบบที่จะสัมผัสโดยเฉพาะที่โรงแรมในเครือ The Standard เท่านั้น

 

“ประเทศไทยยังคงเป็นจุดหมายท่องเที่ยวอับดับหนึ่งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ที่เหมาะสม และความรุ่มรวยของมรดกทางวัฒนธรรม และจากความตั้งใจจริงของเราที่จะวางรากฐานในเอเชียอย่างมั่นคง เราจึงนำประสบการณ์กว่า 20 ปีในอุตสาหกรรมบูทีคโฮเทล ความเป็นแบรนด์ที่เร้าความรู้สึกอย่างมีรสนิยม ด้วยการออกแบบที่พิถีพิถัน ใส่ใจในรายละเอียด และบริการที่เป็นเลิศ มาสู่ผู้บริโภคในตลาดที่ไม่เคยหยุดนิ่งอย่างเมืองไทย เริ่มด้วยการเปิดตัวโครงการแลนด์มาร์กใหม่ทั้งสองแห่งนี้” อมาร์ กล่าวเสริม

 

ด้วยสถานที่ท่องเที่ยวหลากหลาย ประเทศไทยกลายเป็นหนึ่งในเดสทิเนชั่นอันดับต้น ๆ ของนักเดินทางจากทั่วโลก จนทำให้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเติบโตอย่างต่อเนื่องตลอดทศวรรษที่ผ่านมา ด้วยจำนวนนักท่องเที่ยวมากกว่า 38 ล้านในปี 2561 และมากกว่า 39 ล้านในปี 2562 ก่อนที่จะเกิดวิกฤตการแพร่ระบาดโควิด-19  เมื่อเร็ว ๆ นี้ ทั้งกรุงเทพฯ และภูเก็ต ยังคงได้รับความนิยมในฐานะเมืองสุดโปรดของเหล่านักเดินทางนานาชาติ โดยติดอันดับจุดหมายปลายทางยอดนิยมของโลกจากการมอบรางวัล Tripadvisers Travellers’ Choice Best of the Best 2021 ในประเภท Popular Destinations – World’ จากการลงคะแนนเสียงโดยนักท่องเที่ยวที่เคยมาสัมผัสและหลงรักเมืองทั้งสองแห่ง

 

การจะฟื้นธุรกิจท่องเที่ยวให้กลับคืนมาเหมือนช่วงก่อนโควิด19 ระบาดนับว่าเป็นเรื่องท้าทายมากดังนั้น การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยจึงเริ่มต้นผลักดันภารกิจหลักสู่การฟื้นฟูอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและโรงแรม ที่ถือเป็นอุตสาหกรรมสำคัญของประเทศให้กลับมาโลดแล่นเหมือนเดิม ประเทศไทยเริ่มพิจารณาใช้นโยบายเปิดประตูต้อนรับนักท่องเที่ยวอีกครั้ง หลังจากแผนระดมฉีดวัคซีนดำเนินการได้ตามเป้า โดยเริ่มจากโครงการนำร่อง ‘Phuket Sandbox’ ที่อ้าแขนรับเฉพาะนักท่องเที่ยวที่ฉีดวัคซีนเข้าสู่เกาะภูเก็ตตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคมที่ผ่านมา ตามด้วยโครงการในลักษณะเดียวกันในเมืองท่องเที่ยวสำคัญ ๆ รวมทั้งโครงการ ‘Hua Hin Recharge’ ที่ตั้งเป้าให้มีการฉีดวัคซีนให้กับประชาชนในพื้นที่ให้ได้ร้อยละ 70 เพื่อพร้อมรับนักท่องเที่ยวทั้งในประเทศและต่างประเทศกลับมาเยือนเมืองชายทะเลแห่งนี้ เพื่อกระตุ้นให้ธุรกิจท่องเที่ยวในพื้นที่ฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป

 

ในช่วงที่ฤดูท่องเที่ยวหลักใกล้เข้ามา ซึ่งโดยปรกติจะเริ่มต้นในเดือนตุลาคม ประเทศไทยจะมีเมืองท่องเที่ยวหลัก 5 แห่ง (ภูเก็ต สมุย พัทยา เชียงใหม่ และหัวหิน ซึ่งข้อมูลจากททท. ระบุว่าสร้างรายได้เข้าประเทศคิดเป็นร้อยละ 50 ของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวโดยรวม) ที่เข้าร่วมในแผนการฟื้นฟูการท่องเที่ยว ขณะที่อีก 2จังหวัด คือ กระบี่และพังงา เป็นจุดหมายรองจากเมืองหลัก ปัจจุบันภูเก็ตเปิดให้นักท่องเที่ยวที่ฉีดวัคซีนเดินทางได้ทั่วเกาะ ขณะที่เมืองอื่น ๆ จะเปิดให้เดินทางไปยังบางเส้นทางโดยนักท่องเที่ยวยังต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของแต่ละที่ ขณะเดียวกัน ภาครัฐกำลังพิจารณาให้หัวหินเป็นจุดหมายที่เปิดโอกาส  ให้นักท่องเที่ยวเดินทางได้อย่างอิสระในรัศมี 86 กิโลเมตรโดยไม่ต้องมีการกักตัว

 

เมื่อเทียบกับแหล่งท่องเที่ยวอื่น ๆ ในประเทศไทย เมืองชายทะเลอย่างหัวหิน อันเป็นที่ตั้งของรีสอร์ตติดชายหาดแห่งแรกในเมืองไทยในเครือ The Standard พึ่งพาตลาดนักท่องเที่ยวในประเทศเป็นหลัก โดย 70% ของนักท่องเที่ยวก่อนที่จะได้รับผลกระทบจากโควิด เป็นนักท่องเที่ยวชาวไทย อัตราการเข้าพักสูงถึง 90% ในช่วงสุดสัปดาห์และวันหยุดราชการ ทั้งนี้ ในปี 2563 โรงแรมในหัวหินมีตัวเลขอัตราการเข้าพักสูงที่สุดอยู่ที่ 39% มากกว่าเมืองท่องเที่ยวหลักอย่างพัทยา ภูเก็ต และกรุงเทพฯ

 

ปัจจุบัน กระแสความต้องการในการท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะในกลุ่มคนที่มีรายได้สูง จากประเทศที่มีเศรษฐกิจมั่นคง และพึ่งพาธุรกิจท่องเที่ยวขาเข้าน้อยกว่าอุตสาหกรรมอื่น ๆ ซึ่งโอกาสที่จะฟื้นตัวได้เร็วกว่า นักท่องเที่ยวกลุ่มอื่นๆ โดยนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ เป็นเป้าหมายหลักที่ธุรกิจท่องเที่ยวในประเทศต่าง ๆ ให้ความสนใจเป็นอย่างสูง ในการดึงดูดให้เข้ามาท่องเที่ยวประเทศของตนเอง ซึ่งประเทศไทยคือจุดหมายปลายทางที่มีศักยภาพสูงสำหรับการท่องเที่ยวของนักเดินทางกลุ่มนี้เมื่อมีการเปิดพรมแดนเพื่อวัตถุประสงค์ด้านการท่องเที่ยวอีกครั้ง หากประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาค ยังไม่สามารถดำเนินการในการสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ และยกเลิกข้อกำหนดในการเดินทางข้ามประเทศได้อย่างทันท่วงที

 

ถึงแม้ว่าวิกฤติโควิด 19 จะสร้างผลกระทบมหาศาลต่อเศรษฐกิจโลกอย่างปฏิเสธไม่ได้ ภาวะโรคระบาดใหม่ทำลายธุรกิจท่องเที่ยวและบริการเสียหาย แต่เครือ The Standard สามารถยืนหยัดสู้กับสถานการณ์วิกฤติได้อย่างแข็งแกร่งและภาคภูมิ ด้วยวิสัยทัศน์ที่เล็งเห็นว่าว่าอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจะกลับมามีอนาคตที่สดใส โดยส่วนแบ่งตลาดของแบรนด์ในปี 2564 ในสหรัฐอเมริกาแซงหน้าตัวเลขในปี 2562 ด้วยค่าเฉลี่ยดัชนีการสร้างรายได้ที่ระดับ 134 ต่อ 122 เมื่อเทียบกับเครือโรงแรมคู่แข่งในระดับเดียวกัน

 

“ท่ามกลางความท้าทายที่เราเผชิญ เราสามารถรักษาฐานกำไรและยังเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง โดยการเพิ่มส่วนแบ่งตลาดในโครงการใหม่ ๆ และเร่งสรรหาโรงแรมใหม่ๆ เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในเครือ” ซีอีโอของ The Standard เผย โดยเสริมว่าตัวเลขการเติบโตในแง่ส่วนแบ่งตลาดเป็นผลจากความแข็งแกร่งของแบรนด์ และการที่บริษัทฯ ตัดสินใจรักษาทีมงานทุกคนไว้และเดินหน้าแผนงานต่าง ๆ ทางการตลาดตลอดช่วงที่เกิดวิกฤติโรคระบาด

 

ความแข็งแกร่งของแบรนด์ นับว่าเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ตัวเลขยอดการจองตรงในโรงแรมในเครือ  The Standard อยู่ระดับสูงตลอด โดยเพิ่มจากอัตรา 45% ก่อนโควิดระบาด มาสู่ระดับ 58% ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงสำหรับแบรนด์โรงแรมอิสระ ความสำเร็จดังกล่าวเป็นผลจากการนำเสนอแพคเก็จที่ดึงดูดใจและการสร้างประสบการณ์ที่ตอบสนองต่อความต้องการของผู้มาพักที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลารวมถึงการตลาดแบบฉีกกรอบซึ่งกลายเป็นภาพจำของแบรนด์

 

แม้ในสภาพเศรษฐกิจท่ามกลางวิกฤติ The Standard สามารถขยายฐานธุรกิจเครือโรงแรมได้อย่างน่าพอใจในปีที่ผ่านมา “ปัจจุบัน เรามีโรงแรมทั้งหมด 17 แห่งที่เป็นส่วนหนึ่งของแบรนด์ The Standard ,Bunkhouse (บังค์เฮ้าส์) และ The Peri Hotel (เดอะ เภรี โฮเทล) โดยในจำนวนนี้ 15 แห่งกลับมาเปิดให้บริการหลังเกิดโควิดระบาด และอีก 21 แห่งเป็นโครงการที่อยู่ระหว่างดำเนินการ นอกเหนือจากนี้มีอีกหลายแห่งอยู่ในขั้นตอนการเจรจา ทำให้เราเป็นหนึ่งในแบรนด์ไลฟ์สไตล์อิสระชั้นนำของโลก” ซีอีโอของ Standard International เผยต่อ

 

The Standard, Hua Hin ซึ่งเป็นรีสอร์ตติดชายหาดแห่งแรกของแบรนด์ในประเทศไทย จะเปิดให้บริการในวันที่ 1 ธันวาคม โดยมีห้องพัก 178 ห้อง พูลวิลล่า 21 หลัง ติดหาด The Standard, Hua Hin จะเป็นจุดหมายที่ไม่เคยตกยุคสำหรับกลุ่มลูกค้าคนไทยผู้ชื่นชอบการพักผ่อนอย่างสร้างสรรค์และกลุ่มลูกค้าที่เป็นแฟนคลับของ The Standard ทั่วโลก

 

หัวหินเป็นเมืองตากอากาศที่เริ่มจุดหมายของนักเดินทางตั้งแต่พ.ศ. 2454 เมื่อเส้นทางรถไฟเชื่อมกรุงเทพฯ กับภาคใต้เริ่มให้บริการมาถึงเมืองชายหาดแห่งนี้ในช่วงกลางยุค 1920s (พ.ศ.2 463-2473) ก่อนที่จะกลายเป็นเมืองโปรดในช่วงวันหยุดสำหรับชนชั้นสูง ในช่วง 10 กว่าปีหลังจากนั้น เมื่อเวลาผ่านไป หมู่บ้านประมงเงียบสงบแห่งนี้เปลี่ยนโฉมเป็นเมืองริมทะเลจุดหมายหลักของนักเดินทางโดยยังคงเสน่ห์ดั้งเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ทุกวันนี้หัวหินยังเป็นเมืองโปรดในช่วงสุดสัปดาห์สำหรับผู้คนจากกรุงเทพ ฯ ที่รอคอยประสบการณ์แบบที่ The Standard สัญญาว่าจะมอบให้ได้ นั่นคือ รีสอร์ตติดชายหาดที่โดดเด่นมีชีวิตชีวานำเสน่ห์ของหัวหินมาสะท้อนอยู่ในองค์ประกอบต่างๆ ของโรงแรม ภายใต้ความสง่างาม เรียบง่าย  และเต็มไปด้วยเรื่องราวของประวัติศาสตร์ของทำเลอันเป็นที่ตั้งจองโรงแรม เสริมด้วยการนำเสนอที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และความสนุกสนานในแบบสากล

 

The Standard, Bangkok Mahanakhon จะเป็นโรงแรมแฟล็กชิพของแบรนด์ The Standard    ในทวีปเอเชีย จะกลายเป็นแลนด์มาร์กที่น่าตื่นตาตื่นใจของประเทศไทย เนื่องจากเป็นส่วนหนึ่งของ   คิง เพาเวอร์ มหานคร อาคาร 78 ชั้น ที่สูงเป็นอันดับต้นๆ ของไทยในปัจจุบัน โดยโรงแรมแห่งนี้จะสะท้อนความเป็นเมืองหลวงที่เปี่ยมพลังของกรุงเทพฯ ด้วยห้องพัก 155 ห้อง เพนท์เฮาส์ สระว่ายน้ำริมระเบียง ฟิตเนส ห้องประชุม รวมทั้งบริการอาหารและเครื่องดื่ม และสถานที่ท่องเที่ยวพักผ่อนตอนกลางคืน ตั้งแต่ห้อง The Parlor (เดอะ พาร์เลอร์) ไปจนถึง tea room  (ที รูม) และร้านอาหารชื่อดังอย่าง Standard Grill (สแตนดาร์ด กริล) โดยร้านอาหารและบาร์ชั้น 76 แห่งนี้เสิร์ฟความอร่อยพร้อมวิวสุดอลังการของกรุงเทพฯ และเมื่อเพิ่มความสูงขึ้นไปสองชั้นสู่จุดชมวิวบนชั้น 78 ที่ไม่ควรพลาดในการมาเยือนโรงแรมแห่งนี้จะกลายเป็นประสบการณ์สัมผัสเส้นขอบฟ้าที่สมบูรณ์แบบ โดยโรงแรมแห่งนี้กำหนดเปิดให้บริการในปี 2565

 

The Standard, Bangkok Mahanakhon ออกแบบโดย Jaime Hayon (ไฮเม เฮยอน) นักออกแบบชาวสเปน ร่วมกับทีมออกแบบภายในมือรางวัลของ The Standard โดยโครงการที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นแห่งนี้จะเข้าเป็นส่วนหนึ่งในพอร์ตโฟลิโอของ The Standard เคียงข้างสมาชิกก่อนหน้าที่คว้ารางวัลต่าง ๆ มามากมาย อาทิ The Standard, High Line (เดอะ สแตนดาร์ด ไฮไลน์) และ Standard, London (เดอะ สแตนดาร์ด ลอนดอน) รวมถึงโรงแรมล่าสุดในเครืออย่างThe Standard, Huruvalhi Maldives (เดอะ สแตนดาร์ด ฮูรุวาลี มัลดีฟส์)

 

“กลิ่นอายความเป็นเมืองใหญ่ของกรุงเทพฯ สอดคล้องอย่างลงตัวกับจุดยืนของ The Standard ในฐานะหนึ่งในแบรนด์ไลฟ์สไตล์ท่องเที่ยวที่โดดเด่นสร้างสรรค์ที่สุด ที่สำคัญ คิง เพาเวอร์ มหานคร   เป็นหนึ่งในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่น่าตื่นตาตื่นใจที่สุดในภูมิภาคนี้ เราจึงรู้สึกภูมิใจและตื่นเต้น อย่างยิ่งที่ได้จับมือเป็นพันธมิตรกับคิง เพาเวอร์ กรุ๊ป ในการนำเอาความเป็น The Standard มาสู่อาคารที่โดดเด่นระดับนี้ในใจกลางเมืองหลวงของประเทศไทย” อมาร์กล่าวเสริม

 

ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโรงแรมของ The Standard ในกรุงเทพฯ และหัวหิน หรือวางแผนจองห้องพักพร้อมรับข้อเสนอพิเศษจากThe Standard, Hua Hin และติดตามข้อเสนอพิเศษจาก The Standard,Bangkok Mahanakhon ได้ที่ www.standardhotels.com/bangkok/properties/bangkok.