วันอาทิตย์, กันยายน 24, 2023
BUSINESS

นันยาง ย้ำภาพผู้นำตลาดรองเท้าผ้าใบนักเรียน ประกาศจุดยืนพร้อมเป็นแนวร่วมเด็กไทยทุกคน ยุติปัญหาการบูลลี่ในโรงเรียนให้หมดไปด้วยแคมเปญ “BULLY NO MORE”

 

นันยาง เจาะลึกอินไซต์เด็กนักเรียนไทย พบว่าฝันสูงสุดคือต้องการหยุดปัญหาและพฤติกรรม “การบูลลี่ในโรงเรียน” ให้หมดไป หลังกรมสุขภาพจิตเผย ไทยกลายเป็นประเทศที่มีปัญหาการบูลลี่ในโรงเรียนสูงสุดเป็นอันดับ 2 ของโลก เดินหน้าประกาศจุดยืนเป็นแนวร่วมเด็กไทยยุติปัญหาด้วยแคมเปญ “BULLY NO MORE”

 

 

ทั้งนี้ แคมเปญ “BULLY NO MORE” ที่นันยางได้สร้างสรรค์ขึ้นในปีนี้นั้น มีกิจกรรมในแคมเปญมากมาย ดร.จักรพล จันทวิมล กรรมการผู้จัดการ บริษัท นันยางมาร์เก็ตติ้ง จำกัดอธิบายเสริมว่า “ในปีนี้ นันยางได้จัดทำสื่อที่นำเสนอเนื้อหาเกี่ยวกับ ‘คำขอโทษจากนันยาง’  ที่ไม่เพียงแต่ต้องการแสดงให้สังคมเห็นถึงความรับผิดชอบต่อสิ่งที่นันยางได้เคยสื่อสารไปในอดีต ซึ่งบางครั้งอาจมีเนื้อหาบางส่วนเข้าข่ายการบูลลี่โดยไม่ได้ตั้งใจ และการออกมาขอโทษของเราในครั้งนี้จะเป็นตัวอย่างที่ดีที่จะจุดประกายแนวคิดให้แก่นักเรียนที่เคยมีพฤติกรรมการบูลลี่คนอื่น ทั้งที่ตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตามได้เกิดการฉุกคิดและปรับเปลี่ยนมุมมองต่อเรื่องนี้เช่นเดียวกับนันยางตระหนัก

 

นอกจากนี้ ยังได้พัฒนา รองเท้าผ้าใบนักเรียนรุ่นพิเศษ “Nanyang ‘BULLY NO MORE’ Special Edition” ที่สละพื้นที่โลโก้นันยางบนรองเท้า ให้เป็นข้อความเชิงสัญลักษณ์ BULLY NO MORE เพื่อประกาศจุดยืนในเรื่องนี้ให้ชัดเจน พร้อมเชิญชวนนักเรียนทั่วประเทศมาเป็นแนวร่วมทุกครั้งที่ได้เห็นข้อความบนรองเท้า โดยนันยางเปิดโอกาสให้นักเรียนนำรองเท้าคู่เก่ามาแลกรองเท้ารุ่นพิเศษนี้ ซึ่งรองเท้าคู่เก่าของพวกเขา จะถูกนำไปเป็นส่วนหนึ่งของชิ้นงาน Art Installation ที่ประกอบขึ้นเป็นข้อความเชิงสัญลักษณ์ BULLY NO MORE  ที่สำคัญที่สุดคือทุกคนที่เข้าร่วมกิจกรรมนี้ จะได้ทำการประทับรอยเท้าแสดงจุดยืนร่วมกันเป็นข้อความเชิงสัญลักษณ์ BULLY NO MORE ที่จะทำให้จุดยืนการยุติปัญหาการบูลลี่ในโรงเรียนนี้ค่อยๆ ชัดเจนมากยิ่งขึ้น และนันยางจะใช้โอกาสของการร่วมกันประกาศจุดยืนนี้ ตอกย้ำให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ในการยุติปัญหาการบูลลี่ในโรงเรียนให้หมดไปผ่านแนวคิด ‘ย่ำให้เต็มที่ แต่ไม่ย่ำยีใคร’

 

อย่างไรก็ตาม รองเท้าผ้าใบนักเรียนรุ่นพิเศษ “Nanyang ‘BULLY NO MORE’ Special Edition” จะผลิตเพียง 2,566 คู่เท่านั้น และไม่ได้วางจำหน่ายทั่วไป โดยจะมีกิจกรรมตามห้างสรรพสินค้า และกิจกรรมออนไลน์

 

สำหรับภาพรวมตลาดรองเท้านักเรียนในไทยนั้น ดร.จักรพล กล่าวว่า นันยางคาดว่าตลาดรวมในปี 2566 จะดีขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา เพราะกำลังซื้อเริ่มกลับมาหลังจากการประกาศให้โควิด-19 กลายเป็นโรคประจำถิ่น ทำให้ผู้คนกลับมาดำเนินชีวิตตามปกติ และเม็ดเงินที่ไหลเข้าสู่ระบบทำให้เศรษฐกิจโดยรวมเกิดความคล่องตัวเพิ่มขึ้นกว่าช่วง 3 ปีที่ผ่านมามาก ซึ่งสัญญาณบวกเหล่านี้จะหนุนให้ตลาดรองเท้านักเรียนของไทยในปีนี้ กลับมาคึกคักรับช่วงเปิดเทอมใหม่ในเดือนพฤษภาคมนี้ได้อย่างแน่นอน โดยคาดว่าในปีนี้ รองเท้าผ้าใบนักเรียนของนันยางจะมีอัตราการเติบโตขึ้นประมาณ 8-10% ซึ่งเติบโตสูงกว่าตลาดรวมที่คาดว่าจะอยู่ประมาณ 3-5%

 

“ตลาดรองเท้านักเรียนในไทย มูลค่า 5,000 ล้านบาท แบ่งเป็นรองเท้าผ้าใบ 60% รองเท้านักเรียนหญิง 35% อื่น อาทิ รองเท้าหนัง 5% โดยมีผู้เล่นในตลาดประมาณ 10-15 ราย ย้อนไปเมื่อ 3 ปีก่อน ตลาดค่อนข้างคงตัว ทำให้ปีนี้มองว่าตลาดจะเติบโต 3-5% เพราะที่ผ่านมาตลาดชะลอตัวอยู่ 3 ปี ขณะที่ผ่านมานันยางเติบโตเฉลี่ปีละ 2% และการที่เรามั่นใจว่าปีนี้นันยางจะเติบโตได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ นั่นคือ 8-10% นั่นเป็นเพราะมั่นใจในตลาดที่เติบโตขึ้น และมั่นใจในกลยุทธ์ของเรา โดยปีนี้ได้วางงบการตลาดไว้ราวๆ 70 ล้านบาท”

 

ปัจจุบันตลาดรองเท้านักเรียนทุกประเภทในไทยมีมูลค่ารวมประมาณ 5,000 ล้านบาท หากพิจารณาเฉพาะตลาดรองเท้าผ้าใบนักเรียนพบว่า นันยางครองส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับหนึ่งอยู่ที่ 43-44% ซึ่งในปี 2566 นอกจากรองเท้าผ้าใบไซส์ใหญ่ของนันยางที่สามารถสร้างส่วนแบ่งการตลาดให้เพิ่มขึ้นแล้ว บริษัทฯ ยังได้กำหนดกลยุทธ์เพื่อเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดในกลุ่มรองเท้านักเรียนไซส์เล็กให้มากขึ้นด้วยเช่นกัน จากการรุกทำการตลาดของรองเท้าผ้าใบนักเรียนรุ่นนันยาง Have Fun ที่มีคุณสมบัติ เบา นุ่ม สบาย ไม่ต้องผูกเชือก ลดการสัมผัสเชื้อโรค ที่ปัจจุบันผู้ปกครองรู้จักเป็นอย่างดี และเป็นกระแสนิยมอย่างมากของกลุ่มเด็กนักเรียนในระดับประถมศึกษาทั่วประเทศ โดยมียอดขายเติบโตอย่างต่อเนื่อง และมีส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มขึ้นในทุกๆ ปี

 

“ปีที่แล้วนันยางมีรายได้ประมาณ 1,300 ล้านบาท แบ่งเป็นรองเท้านักเรียน และรองเท้าแตะ ในสัดส่วน 50% เท่ากัน แต่ถ้าแบ่งตามรายได้จากการขายในประเทศ และส่งออก จะอยู่ที่ 75% และ 25% ตามลำดับ โดยยอดขายจะยังคงมาจากช่วง Back to School เป็นหลัก คิดเป็นสัดส่วน 80% จากยอดขายทั้งปี ซึ่งเดือนพฤษภาคมจะเป็นช่วงไฮไลท์ของการขาย”

 

ด้านช่องทางการขายต่างประเทศนั้น นันยางยังคงมียอดขายเพิ่มขึ้น จากกลยุทธ์การร่วมมือกับภาครัฐนำสินค้าไทยไปขยายตลาดในต่างประเทศ มีการออกบูธแสดงสินค้าในต่างประเทศ ส่งผลให้รองเท้าผ้าใบนันยางเป็นที่รู้จักในระดับสากลมากขึ้น เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายสำคัญอย่างในวงการกีฬาตะกร้อ และเทคบอลที่กำลังเป็นกระแสในปัจจุบันด้วย จนได้รับการกล่าวขานว่าเป็นหนึ่งใน Soft Power ของไทยในปัจจุบัน