วันพุธ, ตุลาคม 4, 2023
BUSINESS

The Next Chapter of Growth ยุทธศาสตร์ ซีอาร์จี” ขับเคลื่อนธุรกิจร้านอาหารปี 66 

 

“ซีอาร์จี” จัดทัพ ขยายตลาดเชิงรุก ชู 5 กลยุทธ์ “โต” ทุ่มงบกว่า 1,000 ล้านบาท เปิดสาขาใหม่ 150 สาขา เล็งแบรนด์ใหม่เสริมพอร์ตโฟลิโอ ปักธงต่างแดนนำร่อง “เวียดนาม” พัฒนา CRG Ecosystem ติดอาวุธหนุนพันธมิตรโตร่วมกัน เดินหน้าเคลื่อนธุรกิจควบคู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน คาดสิ้นปีเติบโต 20%

 

ณัฐ วงศ์พานิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เซ็นทรัล เรสตอรองส์ กรุ๊ป จำกัด (CRG) เปิดเผยว่า สถานการณ์ภาพรวมธุรกิจร้านอาหารของซีอาร์จีในปีที่ผ่านมามีภารกิจสำคัญ เพื่อกลับมาสู่ ความยิ่งใหญ่กว่าเดิม หรือ GREATER WE สอดคล้องกับการฟื้นตัวของตลาด ภายใต้ยุทธศาสตร์ การหาโอกาสใหม่ หรือ New S-Curve เพื่อผลักดันการเติบโตของธุรกิจ ด้วยการลงทุนขยายสาขาใหม่ ของร้านอาหารแบรนด์ต่าง ๆ เพิ่มขึ้น การพัฒนาโมเดลร้านรูปแบบใหม่ การร่วมมือกับพันธมิตรเสริมความแข็งแกร่ง การพัฒนาระบบนิเวศ หรือ Ecosystem ต่อยอดธุรกิจ ตลอดจนการร่วมทุน ซื้อและควบรวมกิจการ (M&A) ถือเป็นกุญแจสำคัญที่ส่งผลให้บริษัทประสบความสำเร็จตามเป้าหมาย

 

ปี 2566 บริษัทได้กำหนดแนวทางขับเคลื่อนธุรกิจร้านอาหารสู่ ‘ก้าวต่อไปแห่งการเติบโต’ หรือ The Next Chapter of Growth พร้อมวาง 5 กลยุทธ์ ผลักดันการเติบโตให้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ ประกอบด้วย

 

1.เร่งเติมเต็มศักยภาพการเติบโต (Accelerate Growth Potential) ด้วยการขยายร้านอาหารสาขาใหม่ โดยเฉพาะแบรนด์พระเอกในเครือ เช่น ไก่ทอดเบอร์ 1 เคเอฟซี ควบคู่บริการเครื่องดื่มอาริกาโตะ ร้านอานตี้แอนส์ ร้านส้มตำนัว ร้านสลัดแฟคทอรี่ ร้านชินคันเซ็น ซูชิ เป็นต้น ซึ่งทั้งปีวางไว้ไม่น้อยกว่า 150 สาขา

 

นอกจากนี้ มุ่งต่อยอดศักยภาพของร้านเดิมที่มีจำนวนมากกว่า 1,500 สาขาทั่วประเทศ ผ่านกลยุทธ์ เช่น ออกเมนูใหม่สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคและเทรนด์ตลาด ดึงดูดลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย รวมถึงการเพิ่มโอกาสในการบริโภค ด้วยการพัฒนาสินค้ากลุ่มพร้อมรับประทาน (Ready to Eat : RTE) ผลิตภัณฑ์พร้อมปรุง เช่น ซอส ฯ รองรับการซื้อกลับบ้าน เป็นต้น “กลยุทธ์เร่งการเติบโตจะมาจาก 2 ส่วน คือเดินหน้าลงทุนเปิดร้านหรือขยายสาขาใหม่เพิ่มขึ้น และการทำให้ยอดขายในร้านเดิม หรือ Same Store ขยายตัวมากขึ้น”

 

2.สร้างธุรกิจใหม่เพื่อการเติบโต (Build New Growth Pillar) ใน 2 มิติ ได้แก่ การมองหาแบรนด์ใหม่เสริมพอร์ตโฟลิโอ ซึ่งตามแผนงานบริษัทวางเป้าหมายจะเพิ่ม 1-2 แบรนด์ต่อปี และการขยายโอกาสสู่ตลาดใหม่ในประเทศเวียดนาม รองรับประชากรที่มีขนาดเกือบ 100 ล้านคน เป็นคนรุ่นใหม่ และมีกำลังซื้อขยายตัว

 

“มองว่าตลาดเวียดนามมีศักยภาพ โดยรูปแบบในการเข้าไปลงทุน จะมีทั้งการหาพาร์ทเนอร์ ลงทุนเอง หรือให้ผู้ประกอบการที่นู่นทำแฟรนไชส์ ส่วนร้านอาหารที่มีแนวโน้มสูงว่าจะเปิด คาดว่าจะเป็นอาหารไทย อาหารอีสาน หรืออาหารญี่ปุ่น โดยเฉพาะซูชิ โดยมีแผนจะเปิดที่เมืองโฮจิมินห์”

 

โดยในปี 2565 บริษัทเสริมแกร่งพอร์ตโฟลิโอธุรกิจร้านอาหาร ด้วยการเติม 3 แบรนด์ใหม่ ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค สร้างการเติบโต ได้แก่ ร้าน “ราเมน คาเกทสึ อาราชิ” แบรนด์ดังระดับท็อป 3 ในกลุ่ม ราเมนเครือข่ายจากประเทศญี่ปุ่น, การเข้าร่วมทุนในแบรนด์ “ชินคันเซ็น ซูชิ” และรุกเข้าสู่ธุรกิจร้านปิ้งย่าง ภายใต้แบรนด์ “นักล่าหมูกระทะ”

 

“บริษัทวางแผนเพิ่มร้านอาหารแบรนด์ใหม่ 1-2 แบรนด์ แต่ปี 2565 สร้างความสำเร็จเกินเป้าหมาย เพราะมี 3 แบรนด์ใหม่เข้ามาเสริมพอร์ตโฟลิโอ ขณะเดียวกันบริษัทจะนำธุรกิจร้านอาหารไปบุกตลาดเวียดนามอีกครั้ง หลังจากช่วงโควิด-19 ระบาดต้องชะลอแผนออกไป โดย 2 ปัจจัยจะเป็นกลยุทธ์สร้างการเติบโตใหม่ให้บริษัท”

 

3.ผนึกพันธมิตรสร้างการเติบโตร่วมกัน (Growth Together with Partnership) สำหรับปี 2566 จะมีการเร่งขยายสาขาของร้านอาหารเพิ่มขึ้น ทั้งแบรนด์ชินคันเซ็น ซูชิ, สลัดแฟคทอรี่ และส้มตำนัว ในทำเลห้าง ค้าปลีกของกลุ่มเซ็นทรัล โรบินสัน ตลอดจนการเปิดร้านในรูปแบบ Stand Alone

 

“ปีที่ผ่านมาบริษัทสร้างระบบนิเวศทางธุรกิจซีอาร์จี หรือ CRG Ecosystem เปรียบเสมือนการติด อาวุธ ให้พันธมิตรที่อยู่กับเรา สามารถเชื่อมต่อการใช้งานหรือ Plug & Play ผลักดันการเติบโตของร้านอาหารได้ เช่น ช่วยหาพื้นที่ขยายสาขาใหม่ การทำตลาด การหาพนักงาน สิ่งไหนที่พันธมิตรต้องการเรามี Ecosystem ที่จะช่วยเสริมให้การทำงานง่ายขึ้น”

 

4.เพิ่มประสิทธิผล (Productivity Growth) ของการทำงานรอบด้าน ด้วยกลยุทธ์ 3C คือ Cost บริหารจัดการต้นทุน และค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด, Capex เน้นการลงทุนให้เกิดประโยชน์สูงสุด และ Cash Flow การบริหารกระแสเงินสด ตลอดจน การลงทุน ให้มีความคล่องตัวมากขึ้น

 

นอกจากนี้ ซีอาร์จียังได้นำเทคโนโลยีมาใช้บริหารจัดการร้านอาหารมากขึ้น ปัจจุบันเริ่มนำร่อง ในบางสาขา เช่น การสั่งอาหารผ่านคิวอาร์โค้ด (QR Ordering), การนำหุ่นยนต์มาให้บริการในร้าน, การนำเครื่องมือใช้วิเคราะห์ลูกค้า (Business Intelligence) เพื่อเข้าใจและตอบสนองกลุ่มเป้าหมายได้แม่นยำยิ่งขึ้น รวมถึงการวางแผนพัฒนาระบบการเสิร์ฟอาหารผ่านระบบสายพาน เป็นต้น

 

5. ขับเคลื่อนธุรกิจสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน (Sustainable Growth) ถือเป็นหนึ่งในพันธกิจสำคัญของซีอาร์จี ด้วยให้ความสำคัญในการดำเนินธุรกิจควบคู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน ซึ่งปี 2566 บริษัทจะให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นหลายมิติ โดยทำงานตามหลัก C-R-G เป็น 3 แกน ได้แก่

 

  • Care For People ด้านบุคลากร มีการเปิดกว้างรับความหลากหลายของพนักงานเข้าทำงานทั้งด้านเพศ ผู้พิการ เพื่อสร้างความเท่าเทียม การสร้างสมดุลในการทำงานเพื่อให้พนักงานมีความสุข มีความผูกพันกับองค์กร (Engagement)
  • Reduce Greenhouse Gases มุ่งเน้นให้ความสำคัญเรื่องสิ่งแวดล้อม พร้อมผลักดันให้การบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมภายใต้กรอบแนวคิดจากผู้บริหารสู่การปฏิบัติและลงมือทำของแบรนด์ต่าง ๆ และปลูกจิตสำนึกให้พนักงานของกลุ่มธุรกิจอาหาร โดยในปี 2565 ซีอาร์จีประสบความสำเร็จในการลดปริมาณการปล่อยก๊าซ เรือนกระจกได้ 116 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า โดยได้นำพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy) มาใช้ ในการดำเนินงานในรูปแบบของแผงโซล่าเซลล์ และยังประสบความสำเร็จอย่างสูงในการลดปริมาณการใช้พลังงานไฟฟ้า โดยความเข้มข้นของค่าพลังงานต่อหน่วยรายได้ (ล้านบาท) ลดลงจากปี 2564 คิดเป็น 4%
  • Green Waste & Environment ลดปริมาณขยะอาหารที่เกิดจากการใช้วัตถุดิบในกระบวนการผลิตอาหาร บริษัทสามารถควบคุมปริมาณขยะอาหารให้อยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 1% และในปีที่ผ่านมา การบริจาคอาหารส่วนเกินยังช่วยลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ทั้งสิ้น 44,422 กิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า

 

ณัฐยังได้กล่าวถึงแนวโน้มธุรกิจร้านอาหารปี 2566 ภาพรวมเห็นการฟื้นตัวเต็มที่ จากปัจจัย โควิด-19 คลี่คลาย ผู้บริโภคออกมาช้อป ชิล ชิม หรือรับประทานอาหารนอกบ้านมากขึ้น การท่องเที่ยว ฟื้นตัวกระตุ้นเศรษฐกิจการบริโภค แม้เทรนด์การบริโภคอาหารภายในร้าน (Dine-in) กลับมาคึกคักเติบโต แต่บริการเดลิเวอรี่ สั่งอาหารผ่านออนไลน์ยังขยายตัวได้ เป็นอัตราชะลอลงชั่วคราวเท่านั้น บริษัทจึงให้ความสำคัญ ในการทำตลาดต่อเนื่องกระตุ้นการเติบโต

 

สำหรับความท้าทายในการทำธุรกิจร้านอาหารปี 2566 คือ การรับมือต้นทุนวัตถุดิบที่ปรับตัวสูงขึ้น การขาดแคลนแรงงาน เนื่องจากตลาดฟื้นตัว ทำให้ความต้องการพนักงานเพิ่มขึ้น

 

อย่างไรก็ตาม จากแผนงาน The Next Chapter of Growth บริษัทคาดการณ์ว่าปีนี้จะเติบโต 20% หรือมียอดขายราว 15,000 ล้านบาท โดยใช้งบลงทุนกว่า 1,000 ล้านบาท ในการเปิดสาขาใหม่ 150 สาขา แบ่งเป็น QSR 20 สาขา, HEAVY FOOD 30 สาขา, LIGHT FOOD 30 สาขา และ BEVERAGE/DESSERT 70 สาขา จากปัจจุบันเปิดให้บริการทั้งสิ้นกว่า 1,500 สาขา แบ่งเป็น QSR 319 สาขา, HEAVY FOOD 357 สาขา, LIGHT FOOD 678 สาขา และ BEVERAGE/DESSERT 212 สาขา ทั้งนี้ ไม่รวมการซื้อและควบรวมกิจการ (M&A) และการร่วมทุน (JOINT VENTURE)

 

“ปัจจุบัน แบรนด์ในกลุ่มซีอาร์จีรวมทั้งสิ้น 20 แบรนด์ แบ่งเป็นแบรนด์ของเราเอง 16 แบรนด์ ซึ่งจะเป็นแบรนด์แฟรนไชส์ 12 แบรนด์ ส่วนอีก 4 แบรนด์จะเป็นการร่วมทุน ได้แก่ สลัดแฟคทอรี่, บราวน์, ชินคันเซ็น ซูชิ และะส้มตำนัว โดยปีนี้มีแผนจะเปิดสาขาใหม่กับพาร์ทเนอร์ประมาณ 25 สาขา”

 

สำหรับตลาดร้านอาหารในประเทศไทยปี 2565 มีมูลค่าประมาณ 410,000 ล้านบาท มีอัตราการเติบโต 14% เมื่อเทียบกับปี 2564 แบ่งเป็น

  • คาเฟ่และเครื่องดื่ม 30,000 ล้านบาท
  • ร้านอาหารญี่ปุ่น 25,000 ล้านบาท
  • คิวเอสอาร์ (ไก่ทอด) 25,000 ล้านบาท
  • ฮอทพอท หรือสุกี้ชาบู 20,000 ล้านบาท
  • ส้มตำ 16,000 ล้านบาท
  • แคชชวล ไทย 12,000 ล้านบาท
  • เบอร์เกอร์ 10,000 ล้านบาท
  • เบเกอรี่ 10,000 ล้านบาท
  • พิซซ่า 8,500 ล้านบาท
  • กริลล์ หรือปิ้งย่าง 8,000 ล้านบาท
  • ไอศกรีม 7,500 ล้านบาท
  • อาหารยุโรป 7,500 ล้านบาท
  • อาหารสุขภาพและสลัด 5,000 ล้านบาท
  • โดนัท 4,100 ล้านบาท
  • อาหารจีน 3,000 ล้านบาท
  • อาหารเกาหลี 3,000 ล้านบาท
  • ที่เหลืออีก 215,400 ล้านบาท จะเป็นไทยสตรีทฟู้ด และอื่นๆ ซึ่งถือเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุด

 

อย่างไรก็ตาม คาดว่าตลาดร้านอาหารปี 2566 จะเติบโตราวๆ 3-5% เมื่อเทียบกับปี 2565