วันพุธ, พฤศจิกายน 12, 2025
BUSINESS

Mitsubishi Electric ร่วมกับ อีอีซี เดินหน้าต่อยอดความร่วมมือ ปลดล็อกอุตสาหกรรมไทยสู่ระบบการผลิตอัตโนมัติตามแนวทาง e-F@ctory

 

Mitsubishi Electric ร่วมกับ อีอีซี พร้อมทั้งพันธมิตรเครือข่าย Ecosystem ไทย-ญี่ปุ่น จัดงาน EEC Connecting Thailand and Japan Collaboration 2022 แถลงความสำเร็จจากการต่อยอดความร่วมมือเชื่อมโยงพันธมิตรกว่า 60 บริษัทในไทย และมากกว่า 1,000 บริษัททั่วโลก ถ่ายทอดความรู้และเทคโนโลยีชั้นสูง รวมทั้งแชร์ประสบการณ์จริงจากการใช้งาน  เพื่อปลด ล็อกภาคอุตสาหกรรมการผลิตของไทยให้เข้าสู่ระบบการผลิตอัตโนมัติ e-F@ctory (Industry 4.0 + 5G utilization) พร้อมตั้งเป้าก้าวสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน Digitalizing and Decarbonizing และบรรลุเป้าตามนโยบาย Industry Thailand 4.0 ของรัฐบาลไทยได้เร็วขึ้น โดยมีบุคคลสำคัญทั้งจากภาครัฐและเอกชนเข้าร่วมงาน และออนไลน์รวมกว่า 500 ราย

 

นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ประธานในพิธี กล่าวเปิดงานว่า “อีอีซี เป็นสะพานเชื่อมความร่วมมือของไทย-ญี่ปุ่นในฐานะหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ ทั้งด้าน Supply Chain การขับเคลื่อนเศรษฐกิจแบบองค์รวมตามโมเดลเศรษฐกิจใหม่ BCG สร้างสังคมสีเขียวด้วยการลดปล่อยก๊าซคาร์บอน (Decarbonization) และรวมถึงการส่งเสริมการใช้นวัตกรรม และเทคโนโลยีดิจิทัล (Digitization) เพื่อมุ่งสู่การค้า การลงทุน และการพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งอนาคต ตลอดจนการร่วมมือด้านสาธารณสุข แม้ว่าโควิด-19 จะคลี่คลาย แต่ปัจจัยลบเรื่องภาวะเงินเฟ้อทั่วโลก ความขัดแย้งของรัสเซียและยูเครน Supply chain disruption ต้นทุนพลังงานและการขนส่งที่แพงขึ้น รวมถึงการขาดแคลนแรงงาน ยังเป็นอุปสรรคและความท้าทายของภาคธุรกิจ การบริหารต้นทุนจึงเป็นสิ่งจำเป็น ซึ่งเทคโนโลยีดิจิทัล ระบบ 5G การจัดการข้อมูลขนาดใหญ่ ร่วมกับระบบออโตเมชั่น หุ่นยนต์ และอื่น ๆ จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถแข่งขันในระยะยาว ความร่วมมือของอีอีซี JETRO และภาคเอกชนญี่ปุ่น นำโดยกลุ่ม Mitsubishi Electric รวมถึงเครือข่ายเจ้าของเทคโนโลยี และผู้พัฒนาให้บริการโซลูชั่น จึงเป็นกลไกสำคัญต่อการปรับตัวของภาคอุตสาหกรรมไทย เพื่อเร่งขับเคลื่อนประเทศไทยสู่ Industry Thailand 4.0 ตามยุทธศาสตร์และแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของไทย ที่สอดคล้องกับข้อริเริ่ม Investing for the future ของรัฐบาลญี่ปุ่น เพื่อร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมของภูมิภาคนี้ไปข้างหน้าอย่างสมดุล และยั่งยืน”

 

นายนาชิดะ คาซูยะ เอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย ให้ข้อมูลว่า ปัจจุบันมีบริษัทญี่ปุ่นที่ดำเนินธุรกิจในไทยราว 6,000 แห่ง  โดยอุตสาหกรรมการผลิตมีสัดส่วนประมาณ 40%  ส่วนใหญ่อยู่ในอุตสาหกรรมยานยนต์ โดยมี อีอีซี เป็นเวทีหลักของการพัฒนา ปัจจุบันกำลังเข้าสู่รูปแบใหม่ด้วยการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมแบบ “Digital” และ “Green” นำเทคโนโลยีดิจิทัล (Digital Transformation) มาใช้ในหน้างานผลิต เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตแบบก้าวกระโดด และการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในด้านการตลาด จะช่วยขยายห่วงโซ่คุณค่าของบริษัทที่เกี่ยวข้องกับการผลิต โดยคำนึงถึงธุรกิจแบบ “B to B to C”  ซึ่ง “EEC Automation Park” ณ มหาวิทยาลัยบูรพา ซึ่งจัดตั้งโดยบริษัทมิตซูบิชิ อีเล็คทริค ถือเป็นตัวอย่างที่ดีของความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมและวิชาการ นอกจากนี้ ญี่ปุ่นพร้อมจะสนับสนุนความพยายามของประเทศไทยในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน ตามเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutral) ภายในปี พ.ศ. 2593 และจะปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ ภายในปี พ.ศ. 2608 ด้วยความเชี่ยวชาญพิเศษในการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่ประหยัดพลังงานและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งในเร็ว ๆ นี้ ภาคเอกชนจะย้ายเข้าสู่ระยะลงมือปฏิบัติในฐานการผลิตที่อยู่ในอีอีซี  และภายใต้ “Asia Japan Investing for Future”หรือ “AJIF (เอจีฟ)” นโยบายหลักของนโยบายเศรษฐกิจเอเชียของญี่ปุ่น ซึ่งมีคีย์เวิร์ด คือ “การร่วมคิดสร้าง” (Co-Creation) ผ่านการร่วมมือกับบริษัทของประเทศพันธมิตร  จะนำมาซึ่งการพัฒนาเศรษฐกิจแบบขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม โดยผนึกกำลังเสริมจุดอ่อนจุดแข็งของกันและกันอย่างเท่าเทียมกัน”

 

ดร.คณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบาย เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ. หรือ อีอีซี) กล่าวโดยสรุปว่า “อีอีซีประสบผลสำเร็จในความร่วมมือกับ Mitsubishi Electric พร้อมพันธมิตรเครือข่าย ซึ่งได้พัฒนา EEC Automation Park ให้เป็นฐานหลักขับเคลื่อนการประยุกต์ใช้ระบบหุ่นยนต์และออโตเมชั่นในภาคอุตสาหกรรมการผลิตของไทยนำไปสู่โรงงานอัจฉริยะ หรือ Smart Factory ภายใต้นโยบายอุตสาหกรรม 4.0 ในพื้นที่อีอีซี รวมทั้งชักจูงนักลงทุนญี่ปุ่นมาลงทุนและผลักดันการใช้ระบบหุ่นยนต์และออโตเมชั่น  ซึ่งสถาบันวิทยาการหุ่นยนต์ภาคสนาม (FIBO) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) คาดว่าภายใน 3 ปีจากนี้ การลงทุนอุตสาหกรรมดิจิทัล จะมีมูลค่าสูงถึง 500,000 ล้านบาท ก่อให้เกิดการลงทุน 5G ระบบหุ่นยนต์ ออโตเมชั่น ในอีอีซี ไม่ต่ำกว่า 50,000 ล้านบาท/ปี และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจได้ทัดเทียมทั่วโลก โดยปีนี้ตั้งเป้านำโรงงานอุตสาหกรรมในอีอีซี ที่ทำงานร่วมกับธุรกิจที่ให้บริการเชื่อมต่อระบบเครือข่ายและเทคโนโลยี (System Integrators) หรือ SI ให้เข้าสู่ระบบออโตเมชัน ไม่น้อยกว่า 200 แห่ง และภายใน 3 ปีข้างหน้า (พ.ศ. 2568) ไม่น้อยกว่า 6,000 แห่ง คาดว่าไม่เกิน 5 ปี จะสามารถปรับสู่โรงงานอัจฉริยะที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง Digital Manufacturing 4.0 ได้ไม่น้อยกว่า 10,000 โรงงาน ช่วยให้ต้นทุนการผลิตลดลง ลดอัตราการเสื่อมของเครื่องจักร ลดภาระงาน ช่วยประหยัดพลังงาน ยกระดับภาคอุตสาหกรรมไทย เพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันในตลาดโลก สร้างรายได้ให้แรงงานไทย ทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้นอย่างยั่งยืน”

 

นอกจากนี้ ไทยและญี่ปุ่นยังได้ร่วมกันวางเป้าหมายเพื่อให้ อีอีซี เป็นพื้นที่ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เป็นศูนย์ (Net Zero Emission) ของภาคอุตสาหกรรมแห่งแรกในภูมิภาค โดย นายอัทสึชิ  ทาเคทานิ ประธานองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น (JETRO) เผยว่า “อีอีซี กับ JETRO ได้ผนึกกำลังสนับสนุนนโยบายที่สำคัญระดับประเทศของทั้งสองฝ่ายอย่างเต็มกำลัง และตั้งเป้าหมายในการส่งเสริมการลงทุนสู่อีอีซี โดยได้จัดงาน webinar และงานจับคู่เจรจาทางธุรกิจแบบออนไลน์ภายใต้หัวข้อธุรกิจที่ยั่งยืนเพื่อบรรลุเป้าหมาย Carbon Neutral ขึ้นเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ซึ่งสอดคล้องกับโมเดลเศรษฐกิจ BCG ของรัฐบาลไทย และยุทธศาสตร์ Green Growth Strategy ของรัฐบาลญี่ปุ่น ซึ่งมุ่งเป้าหมายไปที่การฟื้นฟูเศรษฐกิจและผลักดันการดำเนินการเพื่อสิ่งแวดล้อม เพื่อผลักดันธุรกิจที่ยั่งยืนสู่บริษัทญี่ปุ่นและไทย และยินดีสนับสนุนให้เกิดธุรกิจใหม่ระหว่างไทยและญี่ปุ่นเพื่อมุ่งสู่การลดปริมาณคาร์บอนอย่างแท้จริง รวมถึงการสร้างความแข็งแกร่งให้ห่วงโซ่อุปทานโดยนำระบบดิจิทัล ระบบอัตโนมัติ และการลดจำนวนแรงงาน สู่หน้างานผลิต เพื่อให้ไทยกลายเป็นศูนย์กลางของห่วงโซ่อุปทานระดับโลกที่แข็งแกร่ง”

 

นายโคทานิ โทโมอากิ ผู้บริหารระดับสูง รองประธานกลุ่ม Factory Automation Systems บริษัท Mitsubishi Electric Corporation ให้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับแนวคิด e-F@ctory (Industry 4.0 + 5G utilization) และร่วมมือกับเครือข่ายพันธมิตรก่อตั้ง  EEC Automation Park  ณ มหาวิทยาลัยบูรพา ให้เป็นศูนย์การเรียนรู้และพัฒนากำลังคนด้านออโตเมชั่นและหุ่นยนต์ ว่า “ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา อุตสาหกรรมการผลิตได้ปรับเปลี่ยนเป็นระบบดิจิทัลไปทั่วโลก สอดคล้องกับแนวคิดของ Mitsubishi Electric ที่ริเริ่มระบบการผลิต “e-F@ctory” ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2546 ซึ่งใช้ระบบอัตโนมัติ (FA) และระบบสารสนเทศ (IT) เพื่อแก้ปัญหา และเพิ่มประสิทธิภาพของกระบวนการผลิตทั้งหมดของลูกค้ามากกว่า 40,000  เคสทั่วโลก  และจัดตั้งพันธมิตรเครือข่ายความร่วมมือ e-F@ctory ที่มีมากกว่า 1,050 บริษัททั่วโลก และกว่า 60 บริษัทในไทย ซึ่งพร้อมสนับสนุนด้านความรู้และเทคโนโลยี  รวมถึงสนับสนุนแนวคิดความเป็นกลางของคาร์บอน ซึ่งนับเป็นความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของโลกในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา  โดย Mitsubishi Electric เป็นหนึ่งในผู้ผลิตเพียงไม่กี่รายที่มีข้อเสนอโซลูชันที่สามารถตรวจสอบจำนวนพลังงานที่โรงงานและอุปกรณ์การผลิตใช้ รวมถึงปริมาณคาร์บอนที่ปล่อยออกมา และแอปพลิเคชันสนับสนุนการประหยัดพลังงาน (Eco Advisor) เข้าไว้ด้วยกัน เพิ่มเติมจากบทบาทหน้าที่ในการส่งเสริมศักยภาพของบุคลากรด้านดิจิทัลเพื่อให้พร้อมเดินหน้าสู่ระบบการผลิตอัตโนมัติ เพื่อการเติบโตที่ยั่งยืน”

 

นายวิเชียร งามสุขเกษมศรี กรรมการผู้จัดการ บริษัท มิตซูบิชิ อีเล็คทริค แฟคทอรี่ ออโตเมชัน (ประเทศไทย) จำกัด ที่รับผิดชอบเกี่ยวกับ e-F@ctory ในประเทศไทย ได้กล่าวปิดท้ายว่า “เครือข่าย Ecosystem นำไปสู่การขยายความร่วมมือในการนำเทคโนโลยีระบบอัตโนมัติในโรงงาน ครอบคลุมทั้งด้านระบบฮาร์ดแวร์ โซลูชัน ซอฟแวร์ และการพัฒนาบุคลากรให้มีความรู้ความชำนาญ โดยเฉพาะศูนย์ EEC Automation Park ซึ่งจะเป็นหัวใจสำคัญสำหรับอีอีซี ในการขับเคลื่อน และยกระดับอุตสาหกรรมการผลิตของไทย พร้อมทั้งทางมิตซูบิชิ อีเล็คทริคเอง เรามีเป้าหมายภายใน 2-3 ปีนี้ ที่อยากจะเดินหน้าพัฒนาโรงงานให้เป็นโรงงานอัจฉริยะกว่า 200 แห่ง และแม้ว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจจะเป็นเป้าหมายหลักในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมไทย 4.0 ให้เกิดขึ้นเป็นรูปธรรมที่ชัดเจน แต่ความรับผิดชอบต่อสังคมก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน  ดังนั้นหากสามารถสร้างเม็ดเงินด้านการลงทุนได้พร้อมกับการก้าวไปสู่สังคมคาร์บอนต่ำหรือสังคมไร้คาร์บอนได้ นั่นคือความสำเร็จที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง”

 

งาน EEC Connecting Thailand and Japan Collaboration 2022 จัดขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อแถลงความสำเร็จของการดำเนินงานที่ผ่านมา พร้อมรายงานความคืบหน้าเกี่ยวกับสถานการณ์ความร่วมมือในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมในประเทศไทยของเครือข่ายที่รับผิดชอบ อาทิ ความพร้อมในการสนับสนุนการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในระบบการผลิตอัจฉริยะ  ความพร้อมของ EEC Automation Park และเครือข่ายในการเป็นศูนย์กลางนำร่องขับเคลื่อนสู่อุตสาหกรรม 4.0 และความพร้อมด้านหลักสูตรการพัฒนาบุคลากรของคณะทำงานประสานงานด้านการพัฒนาบุคลากรในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC-HDC) ในการปรับปรุงทักษะความรู้ความชำนาญในระบบออโตเมชัน นอกจากนี้ยังมีส่วนสำคัญ คือ การแบ่งปันการพัฒนา e-F@ctory โซลูชัน ให้กับอุตสาหกรรมทั้งองค์กรขนาดใหญ่ ขาดกลาง และขนาดเล็ก ตลอดจนสิทธิประโยชน์ และข้อจูงใจต่าง ๆ จากหน่วยงานภาครัฐเพื่อสนับสนุนให้เกิดการปรับเปลี่ยนสู่ระบบการผลิตแบบดิจิทัล  รวมถึงโชว์เคสโซลูชันเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับการใช้งานเทคโนโลยี Industry 4.0 + 5G ภายในงาน

 

1 BCG โมเดล เป็นโมเดลพัฒนาเศรษฐกิจรูปแบบใหม่ ที่มุ่งสร้างสมดุลระหว่างการเติบโตทางเศรษฐกิจกับความยั่งยืนของทรัพยากรธรรมชาติ โดยเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศให้เติบโตแบบก้าวกระโดด กระจายโอกาส กระจายรายได้ ที่จะนำความมั่งคั่งไปสู่ชุมชนในท้องถิ่นอย่างทั่วถึง มีการพัฒนาทางเศรษฐกิจและสังคมที่ยั่งยืน ประกอบด้วย 3 เศรษฐกิจหลัก คือ B : Bio Economy ระบบเศรษฐกิจชีวภาพ มุ่งเน้นการใช้ทรัพยากรชีวภาพอย่างคุ้มค่า เชื่อมโยงกับ C : Circular Economy ระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน ที่คำนึงถึงการนำวัสดุต่างๆ กลับมาใช้ประโยชน์ให้มากที่สุด และสอดรับกับ G : Green Economy ซึ่งมุ่งแก้ไขปัญหามลพิษ เพื่อลดผลกระทบต่อโลกอย่างยั่งยืน